กรณีศึกษา เพราะปากและใจไปไวกว่าความคิด
เพราะมีปราชญ์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า จงคิดทุกอย่างที่พูด แต่อย่าพูดทุกอย่างที่คิด
ในปัจจุบันนอกจากพูดแล้ว การพิมพ์หรือระบายสิ่งใดลงในโลกออนไลน์
คงต้องถือเป็นข้อห้ามพึงระวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ในเวลาโกรธ”
เพราะความคิดของคนเรานั้นมักไหลไปตามสถานการณ์ เมื่อเราพบเจอสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบ
และเกิดความไม่พอใจขึ้น เราย่อมอดไม่ได้ที่จะตัดสินเหตุการณ์นั้นตามประสบการณ์
หรือสิ่งที่เราพบเคยพบเจอมา จนอาจหลงลืมไปเลยว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
และสิ่งที่เราเห็นหรือตัดสินผู้อื่นไปแล้วนั้น อาจไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป
เมื่อการตัดสินอะไรไปล่วงหน้า หรือ “Prejudgment” อาจส่งผลร้ายกว่าที่คิด
ซึ่งถ้านอกจากคิด แล้วยังเขียน นอกจากเขียนแล้วยังยึดมั่นถือมั่นไว้ในใจ อคติร้ายก็เริ่มฝังตัว
เมื่อเริ่มคิดไปเอง สิ่งสำคัญคือ “สติ” ที่จะใช้ในการพิจารณาหาความจริง
ว่าสิ่งที่เราคิดหรือตัดสินผู้อื่นไปแล้วนั้น มันเกิดจากความจริงหรือเกิดจากสิ่งที่เราคิดไปเอง
ในที่ทำงานก็เช่นกัน หากในอดีตเราเคยถูกรีดไถเงินค่าที่จอดรถจาก เจ้าหน้าที่รปภ คนหนึ่ง
เมื่อรุ่งขึ้นขณะที่เรากำลังจะเอารถเข้าที่จอด มีเจ้าหน้าที่ รปภ อีกคนหนึ่งวิ่งมา
เรียกให้จอดและเดินมองรอบรถด้วยความสงสัย ก่อนจะลงมือพิมพ์สเตตัส เช็คอิน ส่งข้อความร้องเรียนใดๆ
ลองหาความจริงด้วยการใช้ “สติ” ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะบานปลาย
เพระคำตอบที่ได้อาจไม่ใช่การเรียกเก็บค่าที่จอดรถใดๆ
แต่เป็นการเรียกให้หยุดเพื่อความปลอดภัยในการขับรถของเรา
#เพราะคนในเครื่องแบบดีๆก็มีถมไป
#การ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์มีน้อย โปรดใช้สอยอย่างประหยัด
-----------------------------------
Content by แอดอ้วนผู้มีการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์สามใบและใช้ไปหมดแล้ว
การทำงานแบบ Hybrid Working หัวหน้าหลายคนอาจต้องการให้ทีมมี Productivity ไม่น้อยกว่าช่วงทำงานออฟฟิศ แต่การ monitor ที่เพิ่มขึ้น แทนที่จะทำให้เกิด Productivity อาจทำให้ทีมงานรู้สึกว่า หัวหน้าจู้จี้ หรือเป็น Micromanagement Boss มากกว่าเดิม ถ้าคุณอยู่ในบทบาทหัวหน้า มาลองสังเกตตัวเองกันว่า เราเข้าใกล้การเป็น Micromanagement Boss กันแล้วหรือยังจากคำถามเหล่านี้
"คนเราทุกวันนี้ ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้า แต่เพียงด้านเดียว ให้เอากระจกหกด้าน มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง" สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แล้วเกี่ยวยังไงกับการทำงาน?? เพราะ ชีวิตการทำงานของเรา ก็จำเป็นต้องส่อง กระจก 6 ด้านเหมือนกันครับ เพื่อให้มุมมองที่รอบด้านและทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ซึ่งกระจกทั้ง 6 ด้านก็คือ
อันที่จริง ผลกระทบของปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่นั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจาก "ความเขลา" อย่างที่ หลายๆ คน คิดนะครับ แต่เกิดจาก "ความไม่รู้" หรือ ไม่มีข้อมูลในการจัดการกับ "สถานการณ์" ที่เกิดขึ้น เมื่อไม่สามารถจัดการได้ "สถานการณ์"นั้น จึงเป็น "ปัญหา" "ความไม่รู้" โดยทั่วไปจะเกิดขึ้นจาก 4 ด้านนี้ครับ
"ถ้าอธิบายปัญหาได้ชัดเจน เท่ากับแก้ปัญหาไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง" จอห์น ดิวอี้ นักปรัชญาชาวอเมริกันได้ว่าไว้แบบนั้น โชคดีอย่างมากเช่นกัน ที่ในยุคปัจจุบันคำอธิบายปัญหาเหล่านั้น อยู่ในรูปแบบของ "ข้อมูลดิจิทัล"
แนวคิด หยิน-หยาง นี้เชื่อว่า พลังต่างๆ ในจักรวาลนั้นมี 2 ด้าน คือ หยิน และ หยาง ซึ่งเป็นพลังงานสองขั้วที่ตรงข้ามกัน ดังนั้น ในเครื่องหมายหยินหยางนั้น จึงมีสีตรงข้ามกัน คือ ดำ และ ขาว ดังนั้นในการรับมือความเปลี่ยนแปลงแบบแนวคิดเต๋า ก็มีสองด้านครับ นั่นคือ
การที่เราจะมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้นั้น สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ คุณจะต้องมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้สามารถโน้มน้าว หรือ ต่อรอง ซึ่ง French และ Raven บอกว่าคุณจะต้องสร้างฐานของอำนาจจาก 5 ด้านนี้