Quiet Quitting ไม่ใช่เป็นเทรนด์ แต่จริงๆ มีมานานแล้ว

วันที่: 07 ก.พ. 2566 16:23:03     แก้ไข: 28 ก.พ. 2566 13:38:56     เปิดอ่าน: 355     Blogs
Quiet Quitting คำนี้เป็นกระแสในโลกโซเชี่ยลอย่างรวดเร็ว จนทำให้สื่อดังๆ หลายที่ตีข่าววิธีการทำงานแบบใหม่นี้ว่าเป็นเทรนด์ของคนทำงานยุคใหม่ แต่อ่านไปอ่านมาชักคุ้นๆ ว่า การทำงานแบบนี้ก็มีมานานแล้วในบ้านเรา

แค่มันไม่ทันสมัย กินความหมายกว้าง และดูเป็นลบมากกว่า นั่นคือ "การทำงานเช้าชามเย็นชาม"

Quiet Quitting  เป็นประเด็นในต่างประเทศ ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะสังคมและวัฒนธรรมการทำงานของพวกเขาค่อนข้างที่จะเป็นแบบ งานคืองาน ต้องทำแบบทุ่มเท
ตัวอย่างเช่น

ทางฝั่งจีน ที่มีวัฒนธรรมการทำงานแบบ '996'
นั่นคือ ทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม เป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์
คิดเป็นชั่วโมง นั่นคือ 72 ชั่วโมงนะครับ!

แม้แต่ คนดังฝั่งอเมริกาอย่าง อีลอน มัสก์ ยังเคยมีความเห็นที่อยากให้พนักงานมีชั่วโมงการทำงานที่มากขึ้นแบบนี้ด้วย
ซึ่งในบ้านเรานั้นตกประมาณ 40-48 ชม ซึ่งน้อยกว่าเกือบครึ่ง

ประกอบกับวิกฤตในช่วงนี้ ที่พนักงานต้องทำงานมากกว่าเดิม จึงเกิดความกดดันเพิ่มมากขึ้นเยอะ
ทำให้พนักงานหลายคนรู้สึกว่า "พอเหอะ" ทุ่มเทไป แล้วสุขภาพย่ำแย่ทั้งกายใจ "แล้วจะทำไปเพื่อ????"

กระแสของการ Quiet Quiting หรือ หยุดงานแบบเงียบ จึงเริ่มปรากฎ ทั้งในฝั่งเอเชีย และ อเมริกาเอง
นั่นคือ ทำงานให้พอบรรลุเป้า แต่ไม่เอาการเติบโต เพราะมันบั่นทอนชีวิตเกินไป

สำหรับในบ้านเรา อย่างที่ผมบอกไปข้างต้น การ Quiet Quiting ที่มาในแบบ "เช้าชามเย็นชาม"
มีบางส่วนต่างจากฝั่งโน้น คือ

1. บางครั้งไม่ได้เกิดจากความเหนื่อยหน่าย หรือ Burnout แต่ทำมันอย่างตั้งใจ แถมทำแล้วสบายใจด้วยสิ
2. บางคนใช้เป็น "เทคนิคพิเศษ" ในการเบาแรง เช่น "การเสกตัวเลข"ทำให้ยังอยู่ในองค์กรได้ แถมมี well being ที่ดีได้ด้วยนะ ซึ่งคนกลุ่มนี้ ขอยังไม่พูดถึงนะครับ เพราะไม่ใช่กลุ่มที่ควรส่งเสริม

Quiet Quiting ที่น่าเป็นห่วงและตรงความหมายแบบเมืองนอกจริงๆ นั่น คือ ต้องเกิดภาวะเหนื่อยหน่ายจากการทำงาน และบรรยากาศที่ย่ำแย่ขององค์กร คล้ายๆ กับการประท้วงแบบเงียบๆ

สิ่งที่น่าเป็นห่วง สำหรับเรื่อง Quiet Quiting คือ การที่พนักงานชั้นดีมีอนาคต ที่เริ่มหันมา Quiet Quiting ต่างหาก
องค์กร หน่วยงานที่ต้องดูแลเรื่องคน และหัวหน้างานทั้งหลาย จึงต้องระวังและใส่ใจพวกเขาให้มากขึ้นก่อนที่เขาจะลาจาก จนทำให้องค์กรขากำลังสำคัญ (ยิ่งช่วงนี้ วิกฤตจากการถดถอยทางเศรษฐกิจกำลังมา)

รากของปัญหานี้ คนส่วนใหญ่อาจมองที่องค์กร หรือ หัวหน้างาน ว่าเป็นส่วนสำคัญ ลำดับแรกๆ
โทษฐานสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ไม่ดูแลความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

จนอาจลืมว่ายังมีอีกด้านที่สำคัญนั่นคือ ตัวพนักงานด้วย

แม้ว่าพนักงานจะทำงานได้ดี มีทักษะในงานมากแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญในการรับมือกับสภาพการทำงานงานที่ชวนให้หมดใจจะทำงาน (เริ่ม Brownout) คือ การพัฒนาให้พวกเขา รู้วิธีการปรับ mindset และ ทักษะ Soft skills ในการจัดการงานและคน ไปพร้อมๆ กันด้วยครับ จึงจะทำให้เอาตัวรอดและกระตุ้นตัวเองให้กลับมาทำงามอย่างทุ่มเทได้ดังเดิม ก่อนที่จะหมดไฟ มอดไหม้ทั้งใจกาย (Burnout) หรือใช้ทางออกแบบ Quiet Quiting ในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ควรแก้ปัญหาทั้งสามส่วนนี้
  1. องค์กรอย่างหวังพึ่งให้หัวหน้าทำคนเดียว
  2. หัวหน้าอย่างหวังให้ลูกน้องปรับ mindset เพียงฝ่ายเดียว
  3. ลูกน้องอย่าโทษแต่หัวหน้าและองค์กร และหวังให้เขาปรับทุกอย่างให้เป็นดั่งใจตนเอง
แต่ละคนแต่ละส่วน ควรจะช่วยกันปรับตามหน้าที่ของตัวเอง และทำไปด้วยกัน แล้วองค์กรจะน่าอยู่ หัวหน้าก็จะรักษาพนักงานที่เก่งกาจได้
ส่วนตัวพนักงานเองก็จะได้พบความสุขในการทำงานที่ตอบโจทย์ทั้งการเติบโตในสายงาน และ ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเองไปพร้อมๆกันครับ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Key Takeaways จาก Leading with Purpose Mini-Workshop สรุปเนื้อหาและ Key Takeaways ที่น่าสนใจจากงานมินิเวิร์คชอป Leading with Purpose โดย อ. คม สุวรรณพิมล เกี่ยวกับ การพัฒนาผู้นำให้สอดคล้องกับ Organizational Purpose ซึ่งในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรได้ทบทวนถึงเหตุผลในการคงอยู่ของธุรกิจไม่ว่าจะเป็น คุณค่าที่ส่งมอบ ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนกระบวนการทั้งหมดขององค์กรเองว่าได้สอดคล้องกับความมุ่งหวังที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด
Key Takeaways จาก Leading with Purpose Mini-Workshop

สรุปเนื้อหาและ Key Takeaways ที่น่าสนใจจากงานมินิเวิร์คชอป Leading with Purpose โดย อ. คม สุวรรณพิมล เกี่ยวกับ การพัฒนาผู้นำให้สอดคล้องกับ Organizational Purpose ซึ่งในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ทำให้องค์กรได้ทบทวนถึงเหตุผลในการคงอยู่ของธุรกิจไม่ว่าจะเป็น คุณค่าที่ส่งมอบ ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนกระบวนการทั้งหมดขององค์กรเองว่าได้สอดคล้องกับความมุ่งหวังที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด

มารู้จัก A.I. แบบเข้าใจง่าย ใน 1 หน้ากระดาษ AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงสมัยสมัยใหม่ ด้วยความสามารถในการจำลองและสร้างความคิดเห็นเชิงปัญญาที่มีความเป็นมนุษย์ได้ การพัฒนา AI ได้เกิดแนวคิดและเทคนิคหลายแบบเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและจำลองกระบวนการคิดของมนุษย์ได้ ดังนั้นเราสามารถแบ่งประเภทของ AI ได้เป็นระดับต่อไปนี้
มารู้จัก A.I. แบบเข้าใจง่าย ใน 1 หน้ากระดาษ

AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงสมัยสมัยใหม่ ด้วยความสามารถในการจำลองและสร้างความคิดเห็นเชิงปัญญาที่มีความเป็นมนุษย์ได้ การพัฒนา AI ได้เกิดแนวคิดและเทคนิคหลายแบบเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและจำลองกระบวนการคิดของมนุษย์ได้ ดังนั้นเราสามารถแบ่งประเภทของ AI ได้เป็นระดับต่อไปนี้

ประชุม online ให้ได้ประสิทธิภาพ จากคำแนะนำของ  Havard Business Review ประชุม online ให้ได้ประสิทธิภาพ จากคำแนะนำของนักวิจัยและที่ปรึกษาด้านผู้นำ Havard Business Review ครับ
กดที่ภาพเพื่อดู infographic แบบเต็มๆ นะครับ
ประชุม online ให้ได้ประสิทธิภาพ จากคำแนะนำของ Havard Business Review

ประชุม online ให้ได้ประสิทธิภาพ จากคำแนะนำของนักวิจัยและที่ปรึกษาด้านผู้นำ Havard Business Review ครับ กดที่ภาพเพื่อดู infographic แบบเต็มๆ นะครับ

กฎ 10 ประการในการประชุมแบบ อลัน มูลัลลี่ (Allan Mulally) อลัน มูลัลลี่ คือ อดีต CEO ของ Ford Motor ผู้เคยบริหารงานจนพลิกวิกฤตของ Boeing ได้นำวิธีการบริหารที่ประสบความสำเร็จมาใช้ หนึ่งในนั้นคือวิธีการประชุม Business Plan Review ที่มีกฎ 10 ประการ เพื่อให้พนักงานได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมและมุ่งหาผลลัพธ์ร่วมกันอย่างแท้จริง
กฎ 10 ประการในการประชุมแบบ อลัน มูลัลลี่ (Allan Mulally)

อลัน มูลัลลี่ คือ อดีต CEO ของ Ford Motor ผู้เคยบริหารงานจนพลิกวิกฤตของ Boeing ได้นำวิธีการบริหารที่ประสบความสำเร็จมาใช้ หนึ่งในนั้นคือวิธีการประชุม Business Plan Review ที่มีกฎ 10 ประการ เพื่อให้พนักงานได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมและมุ่งหาผลลัพธ์ร่วมกันอย่างแท้จริง

บริหารเวลาเป็น จะไม่เห็นดินพอกหางหมู ด้วยเทคนิค ​OHIO  การเลือกจะผลัดวันประกันพรุ่งนี่แหละ ที่ทำให้งานของคุณจะยิ่งยากและใช้เวลาจัดการกับนานขึ้น โดยเฉพาะ "งานเล็กๆ น้อยๆ" แถมในบางครั้ง งานเดิมก็กลับงอกมาภายหลังจนเป็นอุปสรรคเสียเอง การบริหารเวลาแบบ OHIO จึงแนะนำวิธีจัดการเวลา โดย
บริหารเวลาเป็น จะไม่เห็นดินพอกหางหมู ด้วยเทคนิค ​OHIO

การเลือกจะผลัดวันประกันพรุ่งนี่แหละ ที่ทำให้งานของคุณจะยิ่งยากและใช้เวลาจัดการกับนานขึ้น โดยเฉพาะ "งานเล็กๆ น้อยๆ" แถมในบางครั้ง งานเดิมก็กลับงอกมาภายหลังจนเป็นอุปสรรคเสียเอง การบริหารเวลาแบบ OHIO จึงแนะนำวิธีจัดการเวลา โดย

บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคนิค  POMODORO  เทคนิคการบริหารเวลาแบบ Pomodoroนี้ ถูกพัฒนาจาก ฟรานเชสโก้ ซีริลโล (Francesco Cirillo) ช่วงยุค
บริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคนิค POMODORO

เทคนิคการบริหารเวลาแบบ Pomodoroนี้ ถูกพัฒนาจาก ฟรานเชสโก้ ซีริลโล (Francesco Cirillo) ช่วงยุค '80 มันคือวิธีการเดียวกับการแบ่งสลอตเวลาออกเป็นช่วงๆ แล้วโฟกัสกับงานให้ได้ จนกว่าเวลาที่แบ่งจะหมดลง โดยวิธีการ คือ