"งานนี้ฉันพลาดละ มันเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่มากๆ"
ความรู้สึกนี้ เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้ว่าจะรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ ที่เกิดขึ้นกับคนเรา
นั่นเป็นเพราะ ทุกความล้มเหลว ย่อมมีผลกระทบ
อาจมี การร้องเรียนจากลูกค้า
ถัดมา อาจได้คำติเตียนจากนาย
ชื่อเสียง ตำแหน่ง เงินทองของเรา อาจจะเสียหาย
แต่เชื่อไหมครับว่า สิ่งที่ทำร้ายจิตใจตัวเรามากที่สุด
เป็นคำต่อว่าของตัวเองที่ก้องกังวานสะท้อนในหัวอยู่ทุกครั้งที่เรานึกถึงมัน
สำหรับหลายๆ คน จำนวนครั้งของคำติเตียนตัวเองนั้น
มันมากยิ่งกว่าจากคนอื่นทั้งหมดรวมกันเสียอีก
.
"ฉันห่วยมากที่ทำงานนี้พลาด"
"ฉันไม่เหลือแรงแก้ไขปัญหานี้แล้ว"
"โลกของฉันคงต้องพังลงในไม่ช้า" ฯลฯ
เมื่อความคิดบอบช้ำ
จิตใจก็เกิดบาดแผลและเป็นรอยร้าว
ร่างกายจึงไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะยืนหยัด
และพาตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจ
ท้ายที่สุด ความรู่สึกถึงคุณค่าในตัวเองก็จะลดลง คงไว้ให้เห็นแต่ความซึมเศร้าและหมดไฟในการทำงาน
"When solving problems, dig at the roots instead of just hacking at the leaves." -Anthony J. D'Angelo-
"เมื่อจะแก้ปัญหาให้ขุดไปถึงราก ไม่ใช่แค่ตัดใบ"
รากของความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลว จึงอยู่ที่ "ความคิด"
"คินสึงิ (Kintsugi)" คือ แนวคิดหนึ่งที่ช่วยเยียวยา จิตใจบอบช้ำที่เกิดจากความล้มเหลว ให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
เดิมที คินสึงิ คือชื่อของวิธีการซ่อมแซมรอยร้าวเครื่องปั้นดินเผาของญี่ปุ่น ด้วยการใช้สิ่งคล้ายกาวที่เกิดจากการผสมครั่ง เรซิ่น เข้ากับผงโลหะต่างๆ เช่น ทอง เงิน หรือ ทองคำขาว
เมื่อชิ้นส่วนที่แตกร้าวของภาชนะนั้น ถูกประสานเข้ากัน ตำหนิที่เคยน่าเกลียด จะกลับกลายเป็นลวดลายศิลปะที่งดงามอย่างคาดไม่ถึง
เช่นเดียวกัน ความผิดพลาดในอดีตของคน หากรู้จักวิธีประสานรอยร้าวของจิตใจ ช่วงเวลาอันเจ็บปวดของชีวิตนั้น ก็ผันเป็นหนทางพัฒนาศักยภาพที่ตัวเองมีได้ เพียงกาวที่ใช้นั้น ไม่ใช่สสารทางกายภาพแต่เป็นชุดความคิด ที่มีส่วนผสมจาก
แม้ร่องรอยความผิดพลาดล้มเหลวไม่จางหาย
แต่รอยร้าวนั้นจะไม่ใช่ความอับอายอีกต่อไป
และมันกลายเป็นประสบการณ์ที่เราภาคภูมิใจ
เหมือนที่ Sundar Pichai (CEO ของ Google) บอกไว้ว่า “Wear your failure as a badge of honor.”
"จงยืดอกและภาคภูมิใจในความล้มเหลวซะ เพราะมันคือ เหรียญตราแห่งความเกียรติยศของคุณ"
ยังไงก็ตาม จิตใจที่ฟื้นฟู เป็นแค่การกลับมาเริ่มต้นใหม่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จเท่านั้น
สิ่งที่ต้องทำถัดไป คือต้องสังเกตว่า สาเหตุที่แท้จริงของความผิดพลาดคืออะไร และมีความสามารถใดที่คุณต้องพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมบ้าง เพราะนั่นต่างหากที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายได้ โดยไม่พลาดเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อีกต่อไป
จิตใจแตกร้าวแก้ได้ แต่ถ้าแหลกสลายกลายเป็นฝุ่น pm 2.5 อาจแก้ไม่ไหว
การพัฒนาความคิดและจิตใจตัวเอง คือ การนำตัวเอง (Lead Self) เพื่อควบคุมการกระทำของตัวเองให้ถูกต้อง
รายละเอียดหลักสูตร Lead self คลิก
Content & Infographic: อนิรุทธิ์ ตุลสุข
Sources:
https://www.weforum.org/…/japanese-art-principle-failure-s…/
https://brandinside.asia/how-to-heal-yourself-from-failure…/
https://en.wikipedia.org/wiki/Kintsugi
ด่วน ! เราเพิ่มช่องทางอ่านบทความใหม่แล้ว ที่ Linkedin
https://www.linkedin.com/company/coach-for-goal/…
คุณมักได้ยินคำแนะนำมากมายเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่ดี เช่น ต้องรับฟังให้เยอะพูดให้น้อย ต้องเข้าอกเข้าใจ ต้องพัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องมีเหตุผล ต้องแสดงความรับผิดชอบและทำให้งานสำเร็จ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนเป็นการกระทำที่ดีทั้งนั้น แต่รู้ไหมว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณทำสิ่งข้างต้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป
ถ้าพูดว่าการทำงานหลักๆของผู้บริหาร หรือหัวหน้า คือการสื่อสาร ภาพในหัวของหลายคนก็จะมีภาพว่าหัวหน้าต้อง present ได้เก่ง โน้มน้าวหรือ พูดได้รู้เรื่อง ซึ่งก็นับว่า จริง แต่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะผู้บริหารมีหน้าที่ต้องบริหารคนให้ทำงานให้บรรลุเป้าหมายให้ได้ ดังนั้นการสื่อสารของหัวหน้าจึงมีหลากหลายมิติ โดยถ้าแยกแบบคร่าวๆ ก็จะมีอยู่ 3 มิติ ดังนี้
จากที่เคยพูดถึงว่าทักษะสำคัญของหัวหน้าคือการสื่อสาร ซึ่งมีหลากหลายวัตถุประสงค์ ในโพสนี้ ขออธิบายการสื่อสารที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงาน คือ”การสั่งงาน” ซึ่งดูแล้วเหมือนกับเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆก็น่าจะสั่งงานได้ แต่หัวใจสำคัญคือ
หลายคนรู้สึกว่าหัวหน้าไม่เห็นทำงานอะไรเลย ได้แต่สั่งงานแล้วก็ตามงาน แถมหัวหน้าบางคนก็ตามแบบจิกๆ อีกต่างหาก ทำแบบนี้หัวหน้าทำถูกหรือไม่? ที่นี่เรามาดูหน้าที่หลักๆของหัวหน้าว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง
Catfish Effect (เอฟเฟกต์ปลาดุก) คือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการมีคู่แข่งที่มีแข็งแกร่งเข้ามา จนทำให้คู่แข่งที่อ่อนแอ มีการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากอะไร? และนำมาใช้เพื่อกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานและเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงาน ได้อย่างไร? มารู้กันจาก blog นี้
หัวหน้าแต่ละคนบริหารต่างกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก "ค่านิยมส่วนบุคคล" (Personal Values) ซึ่งก็คือ ความเชื่อที่เกิดจากประสบการณ์ ที่หล่อหลอม เรียนรู้ และยึดถือ ความเชื่อนั้นว่าเป็นจริง เป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตตัวเอง โดยทั่วไปค่านิยมส่วนบุคคลนั้น มี 2 ระดับ คือ